ครีมกันแดดทาหน้า

รวมผลไม้ “เบต้าแคโรทีนสูง” บำรุงผิวเราให้แข็งแรงได้ง่ายๆ

ดูแลผิวหน้า : เบต้าแคโรทีนเป็นสารที่มีอยู่ในผลไม้และอาหารบางชนิด ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณ ดูแลผิวหน้าแข็งแรงขึ้นได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีผลช่วยยับยั้งความเสื่อมของเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ผิวสวยขึ้น แข็งแรงขึ้น และยังช่วยละชอความแก่และดูแลผิวหน้าได้อีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่ามีผัก ผลไม้อะไรบ้างที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง

สารบัญเนื้อหา

1. ส้ม นอกจากมีวิตามีนซีสูงแล้วยังมีเบต้าแคโรทีนอยู่ 1.7 มิลลิกรัม
2. มะเขือเทศราชินี ผลไม้ช่วยบำรุงผิวสวย และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้
3. มะละกอสุก นอกจากมีไฟเบอร์สูง ดีต่อระบบขับถ่าย ยังเต็มไปด้วยสารเบตาแคโรทีน
4. มะม่วงสุก ไม่ได้มีดีแค่รสหวานอมเปรี้ยว แต่ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้
5. ฟักทอง เป็นผลไม้ที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง จะนำมาต้มหรือนึ่งกินก็ได้
6. แครอท พบว่าแครอทปริมาณ 100 กรัม มีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 8.3 มิลลิกรัม

บำรุง ผิว ขาว

 

1. ส้ม

  • ประโยชน์ของส้ม
    • ผลไม้แก้ท้องผูก
      ส้มเป็นหนึ่งในผลไม้แก้ท้องผูกได้ เพราะมีใยอาหารสูง ช่วยในระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย โดยกินส้ม 1 ผลใหญ่ก็จะได้ใยอาหาร 2.0 กรัมแล้วนะคะ
    • กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย
      ด้วยความที่ส้มพกวิตามินซีมาไม่น้อย จึงทำให้ส้มจัดเป็นผลไม้กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันอาการป่วยเบสิก ๆ ไปจนถึงอาการป่วยที่หนักหนาได้ เพราะเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดี เราก็จะป่วยยาก เชื้อโรคและไวรัสต่าง ๆ ก็มีโอกาสจู่โจมเราได้น้อยนั่นเอง
    • ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
      น้ำตาลฟรุกโตสในเนื้อส้มมีส่วนช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงหลังจากกินส้มเข้าไป อีกทั้งไฟเบอร์ในส้มยังช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกทาง จึงจัดว่าส้มเป็นผลไม้ช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกชนิดหนึ่ง
    • ช่วยลดความดันโลหิต
      ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และยังมีปริมาณโซเดียมค่อนข้างต่ำ จึงช่วยในกระบวนการไหลเวียนโลหิตได้ดี ทำให้ร่างกายควบคุมความดันโลหิตได้อย่างสมดุล และยังช่วยลดความดันเลือดในคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วยนะคะ
    • ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
      ในเนื้อส้มเองก็ไม่มีคอเลสเตอรอล ขณะที่วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีในเนื้อส้มก็ยังมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยสารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปปกป้องหลอดเลือดไม่ให้อนุมูลอิสระเข้ามาเกาะและก่อให้เกิดไขมันพอกพูนไปเรื่อย ๆ จนก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ เป็นต้น
    • บำรุงหัวใจ
      โพแทสเซียมในส้มคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในส้มยังมีวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ดีต่อการทำงานของหัวใจ ช่วยให้หัวใจเต้นในจังหวะปกติ และช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้เป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
    • ลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไต
      มีการศึกษาพบว่า น้ำส้ม มีส่วนช่วยลดการเกิดนิ่วในไต โดยโพแทสเซียมในส้มจะช่วยยับยั้งการเกิดนิ่วต่าง ๆ ในร่างกาย และช่วยให้นิ่วถูกขับถ่ายออกมาพร้อมของเสีย ลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตและนิ่วในอวัยวะอื่น ๆ ได้
    • ยับยั้งการเกิดแผลเปื่อย
      การศึกษาในวารสาร American College of Nutrition พบว่า คนที่ร่างกายได้รับวิตามินซีสูงจะมีโอกาสเกิดแผลเปื่อยได้น้อยกว่าคนที่ร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอต่อความต้องการ และส้มก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากถึง 89% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเชียวนะคะ
    • ลดความเสี่ยงโรคสโตรก
      อาการสโตรก (Stroke) เกิดจากการที่หลอดเลือดตีบ แตก ตัน ซึ่งการศึกษาจากมูลนิธิโรคหัวใจแห่งอเมริกา พบว่า การรับประทานผลไม้ประเภทซิตรัสอย่างส้มและเกรปฟรุตมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคสโตรกในผู้หญิงได้ถึง 19% เมื่อเทียบกับอาสาสมัครที่กินผลไม้ในกลุ่มซิตรัสน้อยกว่า
    • ป้องกันมะเร็ง
      ในเนื้อส้มมีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ค่อนข้างสูง ซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ อีกทั้งเนื้อส้มที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ก็ยังจะช่วยขับเอาของเสียที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกมา จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกทาง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า สารซิตรัสในส้มสามารถต้านการเกิดมะเร็งช่องปาก มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหารได้ด้วย
    • ลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม
      งานวิจัยที่เผยว่า เพียงกินส้มวันละผลก็ช่วยลดโอกาสเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นยังไง ลองอ่านกันเลย
    • ส้มช่วยบำรุงผิว
      สารต้านอนุมูลอิสระผสานกับพลังแห่งวิตามินซีมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ปกป้องผิวจากมลพิษ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย และช่วยบำรุงเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวดูกระชับตึงมากขึ้น เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารตั้งต้นของคอลลาเจนนั่นเอง

2. มะเขือเทศราชินี

มะเขือเทศราชินี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มะเขือเทศเชอร์รี (Cherry tomato) ผลไม้หน้าตาน่ารัก ที่ใครได้รู้จักประโยชน์เป็นต้องร้องว้าวอย่างแน่นอน

  • ประโยชน์มะเขือเทศราชินี
    • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
      ผลไม้ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้มีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ ซึ่งวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกันหรือกำจัดเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยไม่เจ็บง่าย ๆ และโดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงต้องการวิตามินซีวันละ 75 มิลลิกรัม ส่วนผู้ชายต้องการวิตามินซีวันละ 90 มิลลิกรัม ซึ่งมะเขือเทศราชินี 1 ถ้วย (ประมาณ 240 กรัม หรือ 14-15 ลูก) จะให้วิตามินซีราว ๆ 80 มิลลิกรัม ก็ถือว่าเพียงพอกับความต้องการของร่างกายใน 1 วัน
    • ลดความเสี่ยงโรคร้าย
      มีมะเขือเทศราชินีที่ไหน มีไลโคปีน (Lycopene) ที่นั่นค่ะ เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยผ่านหูผ่านตากับชื่อของไลโคปีนกันมาบ้างแล้ว ซึ่งไลโคปีนก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ อันมีสาเหตุมาจากเซลล์ถูกทำลายได้ อย่างเช่น โรคมะเร็ง ยืนยันโดยงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร “Canadian Medical Association Journal”
      นอกจากในมะเขือเทศราชินีจะเป็นแหล่งไลโคปีนแล้ว ในมะเขือเทศราชินียังมีสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic compounds) ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี โดยจากการศึกษาของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เขตพระนคร ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรื่อง “ผลของสายพันธุ์ต่อความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การต้านออกซิเดชั่นของมะเขือเทศราชินี” ในมะเขือเทศราชินีสุก 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 12005 12034 C40 และ G50 พบว่ามะเขือเทศราชินีสายพันธุ์ C40 มีสารประกอบฟีนอลิก(Phenolic compounds) และมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ฉะนั้นถ้าเรากินมะเขือเทศราชินีเป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้
    • แก้ปวดและต้านการอักเสบ
      ใครที่เป็นโรคข้ออักเสบ แนะนำให้กินมะเขือเทศราชินีค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoid) และแคโรทีนอยด์ช่วยบรรเทาอาการปวด อาการอักเสบ และชะลอโรคให้ช้าลง ส่วนใครที่ยังไม่ได้เป็นโรคข้ออักเสบมะเขือเทศราชินีก็ช่วยป้องกันโรคไขข้ออักเสบได้ด้วยนะ
    • ควบคุมความดัน ป้องกันโรคหัวใจ
      โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเป็นเกราะกำบังโรคหลอดเลือดและหัวใจค่ะ ซึ่งมะเขือเทศราชินี เป็นแหล่งโพแทสเซียมชั้นดีเลย เพราะมะเขือเทศราชินี 1 ถ้วย ให้โพแทสเซียมมากกว่า 350 มิลลิกรัม ทานเป็นประจำจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ และป้องกันโรคหัวใจได้
    • แก้ท้องผูก บูทระบบขับถ่าย
      ในมะเขือเทศราชินีอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จึงช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร และช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น จึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนที่ปัญหาระบบขับถ่ายโดยเฉพาะท้องผูกประจำ ต้องหม่ำมะเขือเทศราชินีให้ไวเลย
    • ลดน้ำหนัก
      มะเขือเทศราชินีเป็นผลไม้ที่คู่ควรกับคนที่กำลังลดน้ำหนักจริง ๆ ค่ะ เนื่องจากมีปริมาณน้ำและเส้นใยอาหารมาก กินแล้วอิ่มท้อง คนที่กำลังไดเอตอย่าลืมหามะเขือเทศราชินีมาวางไว้ใกล้ตัวนะคะ หิวเมื่อไรจะได้หยิบกินได้สะดวก
    • บำรุงสายตา
      ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจค่ะ ถ้าใครอยากมีสายตาดี ต้องกินมะเขือเทศราชินีที่มีสารเบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) สูงมาก การันตีจากการศึกษาเรื่อง “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และเบต้า-แคโรทีน) ในผลไม้” โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่ามะเขือเทศราชินีสีเหลืองมีเบต้า-แคโรทีน สูงเป็นอันดับ 2 ในบรรดาผลไม้ทั้งหมด 10 ชนิดที่นำมาทดสอบ (ผลไม้อื่น ๆ ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต) ซึ่งเจ้าเบต้า-แคโรทีนนี่ล่ะค่ะที่ช่วยบำรุงสายตา ทำให้เรามองเห็นได้ดีในที่มืด แถมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกอีกด้วย
    • บำรุงผิวพรรณ
      สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวใส อมชมพู แก้มแดง โดยไม่ต้องพึ่งแอพฯ ขอแนะนำให้กินมะเขือเทศราชินีค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น ส่วนคนที่มีปัญหาหน้ามัน ผิวมันบ่อย ๆ หยิบมะเขือเทศราชินีในครัวขึ้นมาหั่นบาง ๆ แล้วโปะลงบนหน้าสักพัก จากนั้นค่อยล้างออก ทำเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอน ก็จะช่วยให้หน้าใส ไร้ความมันมากวนใจ
    • รักษาสิว
      ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่ฮอร์โมนกำลังเปลี่ยนแปลง จึงมีปัญหาสิวกวนใจได้ง่าย แต่ถ้าใครมีมะเขือเทศราชินีอยู่ใกล้ ๆ ตัว ก็ลองหยิบมะเขือเทศราชินีมารักษาสิวดูสิคะ ในมะเขือเทศราชินีมีวิตามินอี จึงมีสรรพคุณช่วยรักษาสิวได้ วิธีการก็คือ เฉือนมะเขือเทศราชินิให้เป็นชิ้นบาง ๆ และวางไว้บริเวณที่มีสิวขึ้นสัก 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด เพียงเท่านี้สิวก็จะลดลง ผิวหน้าก็จะชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
    • ป้องกันผมร่วง
      ปัญหาผมร่วงคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลาย ๆ คนใช่ไหมคะ เพราะส่งผลต่อบุคลิกของเรา นี่ถ้าใครผมร่วงมาก ๆ อาจถึงขั้นสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเลยแต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีวิตามินเอ ที่จะช่วยให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้น เพียงแค่เราคั้นน้ำมะเขือเทศราชินี แล้วนำมาสระผมแทนชมพู ผมของเราก็จะมีสุขภาพดีขึ้นได้ แต่อย่าลืมล้างผมให้สะอาดด้วยนะ ไม่อย่างนั้นละก็ผมจะเหนียวและดูรุงรังมากขึ้นไปอีก

มะเขือเทศราชินี เป็นผลไม้ช่วยบำรุงผิวสวย และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้

3. มะละกอสุก

  • ประโยชน์ของมะละกอสุก
    มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน อร่อย และสามารถกินได้เลยไม่ต้องนำไปปรุงให้สุกแต่อย่างใด ที่สำคัญเนื้อมะละกอสุกยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และสารอาหารต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนั้นหากเรากินมะละกอสุกบ่อย ๆ ก็จะได้ประโยชน์ตามนี้

    • บำรุงสายตา
      มะละกอเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตมินเอ วิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของจอประสาทตาและการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในตอนกลางคืน อีกทั้งเบต้าแคโรทีนในมะละกอยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ จึงช่วยเสริมพลังในการบำรุงสายตาของเราได้อีก
    • บรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟัน
      วิตามินซีมีส่วนสำคัญในการป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และในมะละกอเองก็มีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยนะคะ รวมไปถึงวิตามินอื่น ๆ อีกมากมาย
    • บำรุงเลือด บำรุงน้ำนม
      สารอาหารในมะละกอมีส่วนช่วยบำรุงเลือด และช่วยขับน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอด อีกทั้งการกินมะละกอสุกยังช่วยผ่อนคลายระบบประสาทของคุณแม่ด้วยนะคะ ส่งผลให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปอย่างไหลลื่นมากขึ้น
    • เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
      มะละกอมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้จะช่วยเสริมภูมิคุมกันของร่างกาย ช่วยให้เราไม่ป่วยได้ง่าย ๆ
    • ช่วยลดการอักเสบ
      เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น อาการอักเสบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายก็จะลดน้อยลง ที่สำคัญในมะละกอยังมีเอนไซม์ปาเปน เอนไซม์ที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบที่เกิดจากการปวด บวม แดง ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อได้
      ทั้งนี้ปาเปนจะพบได้มากในมะละกอดิบ แต่ถ้าจะกินมะละกอดิบเพื่อรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันอาจจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าหากกินมะละกอสุกเป็นประจำก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงขึ้นได้นะคะ
    • ฃ่วยย่อยอาหาร
      เอนไซม์ปาเปนในมะละกอที่มีสรรพคุณในการย่อยเนื้อก็มีส่วนช่วยย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะกินมะละกอดิบจากเมนูส้มตำ หรือกินมะละกอสุกก็ได้รับเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารได้เหมือนกันเลย
    • แก้ท้องผูก
      มะละกอมีไฟเบอร์สูง และมีน้ำย่อยธรรมชาติที่สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ร่างกายย่อยไม่หมดออกไป ช่วยกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ รวมทั้งพาเอาปัญหาท้องผูกออกไปจากตัวเราด้วย ที่สำคัญคือ ยังมีสารเพกตินที่เป็นสารช่วยเคลือบกระเพาะและลำไส้ ช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร พร้อมกับสรรพคุณที่ช่วยให้กากอาหารมีมากขึ้นจนไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวถ่ายออกมา เมื่อถ่ายง่าย ถ่ายคล่อง ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วยล่ะ
    • มีเบต้าแคโรทีนช่วยต้านมะเร็ง
      สารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติช่วยป้องกันเซลล์ร้ายเกิดขึ้นกับร่างกาย จึงถือว่ามะละกอเป็นผลไม้ช่วยต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจมากพอสมควรเลยค่ะ
    • ช่วยลดน้ำหนัก
      คุณสมบัติช่วยย่อยอาหารที่มะละกอมีจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ดียิ่งขึ้น การดูดซึมสารอาหารก็จะมีประสิทธิภาพขึ้น รวมไปถึงการขับถ่ายของเสียก็คล่องตัวขึ้นด้วย ดังนั้นคนที่ลดน้ำหนักอยู่จะกินมะละกอเพื่อช่วยเสริมให้การลดความอ้วนเป็นไปด้วยดีขึ้นก็ได้นะ
    • ประโยชน์ของมะละกอต่อผิวก็ดี
      นอกจากกินอร่อยแล้ว มะละกอสุกยังนำมาทำเป็นสูตรพอกผิวพรรณเพื่อความกระจ่างใส ด้วยเพราะมะละกอมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซี วิตามินอีในตัวเอง จึงเป็นสูตรบำรุงผิวพรรณจากธรรมชาติที่ดีอีกสูตรหนึ่ง สาว ๆ คนไหนอยากบำรุงผิวหน้าด้วยมะละกอ ลองมาดูสูตรพอกหน้ากันเลย

มะละกอสุก นอกจากมีไฟเบอร์สูง ดีต่อระบบขับถ่าย ยังเต็มไปด้วยสารเบตาแคโรทีนอีกด้วย

4. มะม่วงสุก

  • ประโยชน์จาก มะม่วงสุก
    • มะม่วง มีสารต้านอนุมูลอิสระ
      ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก้ร่างกาย และช่วยชะลอวัย มะม่วงทำให้ร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนที่ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
    • มะม่วง ช่วยต้านมะเร็ง
      (มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมาก)
    • มะม่วง มีสรรพคุณช่วยคลายเครียด
      มะม่วงสุกมีรสหอมหวานช่วยให้ร่างกายสดชื่น แก้เครียด แก้หงุดหงิดได้ แถมยังช่วยให้สบายท้อง และทำให้นอนหลับสนิทขึ้น
    • มะม่วง ช่วยแก้อักเสบ
      มะม่วงช่วยให้แผลที่มุมปากหายเร็วขึ้น ช่วยลดการอักเสบ แก้ร้อนใน และแผลในปาก
    • มะม่วง มีไฟเบอร์สูง
      ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ขับถ่ายสะดวกขึ้น ส่วนมะม่วงสุกช่วยแก้อาการบิด และอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
    • มะม่วง ช่วยให้อิ่มเร็วขึ้น
      แต่เผาผลาญได้เร็วด้วยเช่นกัน มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีไขมันดีที่ร่างกายต้องการ กินแล้วไม่อ้วน ช่วยสลายไขมันเลวที่สะสมในร่างกายได้
    • มะม่วง ช่วยบำรุงผิวสวย
      มะม่วงเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และมีเบต้าแคโรทีนที่ดีต่อการฟื้นฟูผิว ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว หากนำมาพอกหน้าจะช่วยให้รูขุมขนกระชับ
    • มะม่วง มีโพแทสเซียม
      ที่ช่วยควบคุมสมดุลในร่างกาย ป้องกันโรคลมแดด

มะม่วงสุก ไม่ได้มีดีแค่รสหวานอมเปรี้ยว แต่ช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

5. ฟักทอง

ฟักทองไม่ได้มีดีแค่ในช่วง Halloween เท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารมากมาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ฟักทอง ถือเป็นพืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ มีสีเหลือง สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้เรียกเป็นผลไม้ นอกจากนี้ ฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทยกัน

  • ประโยชน์ของฟักทอง
    • ฟักทอง เป็นหนึ่งในผักที่มีสีเหลืองออกส้ม ที่ช่วยบำรุง และรักษาสายตา
    • มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
    • บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง ชุ่มชื่น ชะลอรอยเหี่ยวย่น
    • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
    • ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
    • ไขมันน้อย น้ำตาลน้อย กากใยอาหารสูง พลังงานต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก
    • ป้องกันโรคหลอดเลือด และหัวใจ
    • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ จากกากใยอาหารที่มีอยู่สูง
    • ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
    • ป้องกันการเกิดโรคนิ่ว

ฟักทอง เป็นผลไม้ที่มีสารเบต้าแคโรทีนสูง จะนำมาต้มหรือนึ่งกินก็ได้

6. แครอท

แครอท(Carrot) ผักสีส้มสวยที่มากไปด้วยคุณค่าจากเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงร่างกาย และผิวพรรณให้สดใส แต่นอกจากประโยชน์ของแครอทที่ได้จากเบต้าแคโรทีนแล้ว ยังมีสรรพคุณอีกมากจากแครอทที่คุณควรรู้ งั้นอย่ารอช้า…ไปรู้จักกับสรรพคุณและประโยชน์ของแครอทกันดีกว่าค่ะ!!!

  • ประโยชน์ของแครอท
    • แครอทช่วยปกป้องแสงยูวี ทำให้เซลล์ผิวไม่ถูกทำร้ายจากแสงแดด
    • แครอทช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
    • แครอทช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
    • แครอทช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา และถนอมดวงตา บำรุงสายตาที่ฝ้าฝาง และเยียวยาโรคต้อกระจกได้
    • แครอทช่วยป้องกันโรคมะเร็งปอด และยับยั้งการเกิดมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้
    • แครอทช่วยต้านอนุมูลอิสระ แครอทอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่นอกจากจะป้องกันเซลล์มะเร็งแล้วยังช่วยชะลอวัยอีกด้วย
    • แครอทช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
    • แครอทช่วยบำรุงผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก
    • แครอทช่วยลดน้ำหนักได้ แครอทเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะแครอทช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
    • แครอทช่วยขับพยาธิ และขับสารเคมีที่ตกค้างในร่างกาย
    • แครอทสดเสริมสร้างแคลเซียมในร่างกาย ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
    • แครอทช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
    • แครอทช่วยลดความดัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
    • แครอทช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง
    • แครอทช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต

แครอท พบว่าแครอทปริมาณ 100 กรัม มีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 8.3 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

ดูแล ผิว ให้ ขาว

 

สรุป

ถ้าอยากมีผิวสวย สุขภาพดีด้วยสารเบต้าแคโรทีน อย่าลืมเลือกรับประทานผัก ผลไม้เหล่านี้นะคะ

 

LA MOCHA กันแดด เนื้อมูส อุดมไปด้วยคุณค่าอาหารผิว จากสารสกัดรังไหมสีทอง

ครีมกันแดดที่ดีที่สุด

บำรุงลึกล้ำถึงผิวชั้นในสุดช่วยให้ไม่แก่เร็ว พร้อมปกปิดรูขุมขนได้อย่างเรียบเนียน ไม่ทิ้งคราบแป้ง ทำให้ผิวหน้าแห้งเบาสบาย ตลอดทั้งวัน

?? ขนาดพกพา 499.- ขนาดปกติ 1,250.- ใช้นานเป็นเดือน