ดูแลผิว : ใครที่มีผิวหน้าแพ้ง่ายคงเข้าใจดีว่าสร้างความทรมานอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่แล้วผิวแพ้ง่ายมักเกิดจากการแพ้สารเคมี หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผิด ๆ หรือใช้ในปริมาณมากจนเกินไป จนทำให้เกิดปัญหาผิวแพ้ง่ายได้ ซึ่งวิธีแก้นั้นคือ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น จึงจะช่วยต้านทานอาการแพ้เหล่านั้นได้ และเราก็มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากค่ะ
สารบัญเนื้อหา
1. บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
2. ให้ผิวหน้าได้พักจากสารเคมี
3. รับประทานผลไม้เบตาแคโรทีน
1. บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ มีความสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว แม้ว่าผิวคนเราจะผลิต มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ได้เองแต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากกมายที่มีส่วนผสมไม่เป็นมิตรกับผิว มีฤทธิ์ระคายเคือง ทำให้ผิวอ่อนแอและผลิต มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ได้น้อยลง การบำรุงผิวโดยคำนึงถึงส่วนผสมของ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ จึงมีความสำคัญเช่นกัน บางคนหน้ามันแล้วกลัวว่าถ้าใช้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ จะทำให้ผิวยิ่งมัน เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์มีหลายประเภท สามารถเลือกใช้ให้ตรงกับสภาพผิวได้
- มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร?
มอยเจอร์ไรเซอร์ มีคุณสมบัติในการดูแลให้ผิวหนังชั้นกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอกสุด) มีความเนียนนุ่มและเต่งตึง คุณสามารถทามอยเจอร์ไรเซอร์ทั้งบนผิวหน้าและผิวกายเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื่น โดยการลดการระเหยของน้ำจากผิวหนัง มอยเจอร์ไรเซอร์คือส่วนผสมของน้ำมันและครีม น้ำมันหอมระเหย และของเหลว ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนผิวหนัง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ล้วนช่วยบำรุงผิว - วิธีเลือก มอยเจอร์ไรเซอร์
ก่อนอื่นคุณควรตรวจสอบสภาพผิวคุณก่อนว่าคุณมีผิวประเภทใดและควรเลือกมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว มอยเจอร์ไรเซอร์นั้นแบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ ดังนี้- โลชั่น
- ครีม
- เจล
- ปิโตรเลี่ยม เจลลี่
- เซรั่ม
- ผิวมัน ควรเลือกใช้โลชั่นหรือเจลที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เป็นส่วนประกอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของน้ำมันในระหว่างวัน นอกจากนี้คุณควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ระบุว่าไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยไม่อุดตันรูขุมขน
- ผิวธรรมดา มอยเจอร์ไรเซอร์ในรูปแบบโลชั่นสูตรบางเบาที่มีส่วนผสมของน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสำหรับผิวคุณที่สุด เพราะจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ตลอดทั้งวัน แถมยังไม่ทำให้ผิวแห้งหรือมันจนเกินไปอีกด้วย
- ผิวแห้ง ควรเลือกใช้เป็นรูปแบบครีมหรือโลชั่นที่มีความเข้มข้นสูง หรือปิโตรเลี่ยมเจลลี่ที่กลั่นจากน้ำมันดิบบริสุทธิ์อย่าง วาสลีน ปิโตรเลี่ยม เจลลี่ ที่สกัดจากปิโตรเลียมเจลลี่บริสุทธิ์ 100% มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำในชั้นผิว ทำให้ผิวดูชุ่มชื่นได้ยาวนาน วาสลีน ปิโตรเลี่ยม เจลลี่ ยังช่วยฟื้นบำรุงผิวที่แห้งแตกให้อ่อนนุ่มและเรียบเนียนในเวลาเดียวกัน
การดูแลผิวหน้าและบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว แนะนำให้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งให้ความอ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิวบอบบาง แพ้ง่าย
2. ให้ผิวหน้าได้พักจากสารเคมี
- วิธีการพักหน้า สารพิษออกจากผิว
เวลาจะเปลี่ยนครีมบำรุงผิว ช่วงแรกๆ สิ่งที่เคยเจอคือ มีผดผื่นขึ้นบ้าง 2-3 วัน บางคนก็เป็นอาทิตย์ บางคนก็สิวขึ้น สิวอักเสบ บางคนก็หน้าหมองคล้ำลง - ข้อแนะนำ
- ก่อนจะเปลี่ยนครีมบำรุงต้องหยุดใช้ “เครื่องสำอางค์ทุกชนิด”
เป็นเวลาอย่างน้อย 7-14 วัน ขึ้นไปค่ะ ถ้ามากไป 4-5 วันก็ยิ่งดี เพื่อให้ผิวหน้าได้พักจากการใช้เครื่องสำอางค์ และเป็นการดีท๊อกซ์ผิวหน้า ปรับสมดุลของผิวให้รับการบำรุงจากครีมใหม่ได้ดียิ่งขึ้น - วิธีการดีท๊อกซ์ผิวหน้า ในระหว่างที่พักหน้า
ผิวหน้ามีการแพ้เครื่องสำอาง “ควรพักหน้าอย่างน้อย 3 – 7 วัน หรือทำติดต่อกัน 10 วันขึ้นไป หรือจนกว่าผิวจะดีท๊อกซ์สารพิษออกมาหมด (ลักษณะสารตกค้างที่ขับออกมา เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ ผดผื่นคัน บริเวณโหนกแก้ม แนวสันกราม 2 ข้าง รอบปาก คาง และ ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน )”- การพักหน้า
จะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างครีมเมื่อหยุดครีมเก่าอาจเกิด “แอฟแฟค” ตามมาได้ถ้าครีมเดิมมีสารอันตราย เช่น สิวเห่อ ผิวหนังอักเสบ แดงบวม ผด ผื่นคัน เราจะได้สำรวจตัวเองได้ว่าหยุดครีมเก่าเป็นอย่างไร อันตรายหรือเปล่า - สำหรับหน้าแพ้สารเคมี
วิธีรักษาหน้าแพ้สารเคมี (ติดสาร) ผิวติดสารอันดับแรกคือ การพักหน้าค่ะ เป็นวิธีแรกที่ควรจะทำก่อนจะไปสรรหาผลิตภัณฑ์ที่รักษาสิวมาใช้ แนะนำช่วงการพักหน้างดใช้ครีมบำรุงทุกชนิด โดยเฉพาะประเภท ผลัดเซลผิว งดขัด นวด มาร์ก พอกหน้าที่ผสมสารไวเทนนิ่งอย่างเด็ดขาดนะค่ะ เพราะจะทำให้ผิวหน้าจะยิ่งระคายเคือง- เช้า
ล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล หรือสบู่เด็กอ่อน + อโรเวล่าเจลว่านหางจระเข้ + สิ่งที่ขาดไม่ได้ครีมกันแดดต้องทาทุกเช้านะค่ะสำคัญมาก หลีกเลี่ยงแสงแดดด้วยค่ะ เพราะแสวแดดเป็นตัวกระตุ้นให้สิวอักเสบขึ้นมาได้ค่ะ หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจะดีมากๆ จะหายเร็วขึ้น - เย็น
ล้างหน้าด้วยโฟม หรือเจล หรือสบู่เด็กอ่อน , พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ไข่ไก่) ทิ้งไว้ให้แห้ง ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกพอกไข่ขาวซ้ำอีกครั้ง ทิ้งไว้ให้แห้งล้างออก ในการ ล้างน้ำสุดท้าย ให้ใช้น้ำอุ่น + เช็ดด้วยนมสด + ล้างซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขน + ทา อโเวล่าเจลว่านหางจระเข้ (พอกให้หนาๆได้) ทิ้งไว้จนเช้า - ** หากไม่พักหน้าและดิท๊อกซ์ผิว มีโอกาสที่สารประกอบครีมเก่า และ ผลิตภัณฑ์ใหม่จะชนกันทำให้เกิดการแพ้ ผดผื่น
- ไข่ขาว
คุณสมบัติ จะดูดซับสารตกค้างใต้ผิวออกมาจากใต้ผิว - อโรเวล่าเจล
คุณสมบัติ ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน แก้ปัญหาผิวหน้าไหม้จากแสงแดด ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเติมน้ำให้ผิว ลดการระคายเคืองของผิว ช่วยรักษาสิวอักเสบและยับยั้งการติดเชื้อ ลดรอยแผลเป็นจุดด่างดำ
- ไข่ขาว
- เช้า
- กรณี ใช้ครีมชุดใหม่แล้วมีอาการแสบแดง หรือผดผื่น
สิวอักเสบให้หยุดใช้ทันทีเนื่องจาก…อาจแพ้สารสกัดจากธรรมชาติบางตัวโดยปกติแล้ว อัตราการแพ้จะมีอยู่ 2% คือ ทุกๆ 100 คนจะมีคนแพ้ครีมนี้ 2 คน (เปอร์เซนต์นี้ได้มาจากกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จริง โดยผู้แพ้ครีมนี้ คือ ผิวที่มีผิวหน้าบอบบางมากๆ หรือผู้ที่ผ่านการใช้เครื่องสำอางค์เคมีอันตรายมาเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพต้องได้รับการบำรุงผิวแบบเร่งด่วน และล้ำลึก ก่อนเริ่มใช้ครีมบำรุงควรหยุดพักหน้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ - ทุกเช้า ควรใช้ครีมกันแดด
เพื่อปกป้องผิวหลังจากปรับสภาพผิวในเวลากลางคืน
- การพักหน้า
- ก่อนจะเปลี่ยนครีมบำรุงต้องหยุดใช้ “เครื่องสำอางค์ทุกชนิด”
ลาโมช่า(LaMocha) ครีมกันแดด เนื้อแป้งผสมอาหารผิว
ที่ใช้สารสกัดสีทอง จากธรรมชาติ ถึง 8 ชนิด จึงปลอดภัย ใช้ได้กับทุกสภาพผิว แม้ผิวที่แพ้ง่าย
- เมื่อปรับเซลผิวให้สมดุลแข็งแรง ประมาณ 1 สัปดาห์ จึงเริ่มใช้ครีมบำรุงตัวใหม่ ค่อยๆ ทีละน้อยๆก่อนนะค่ะ ดูอาการผิวหน้า มีแอฟแฟคอะไรเกิดขึ้นเราดีท็อกสารออกหมดหรือยัง มันต้องใช้ระยะเวลา โดยส่วนใหญ่ที่ผิวหน้าติดสารใช้ระยะเวลารักษาประมาณขั้นต่ำ 1 เดือน
ให้ผิวหน้าได้พักจากสารเคมี ช่วงนี้งดผลิตภัณฑ์หรือครีมตัวอื่น ๆ หันมาใช้ครีมกันแดดสูตรอ่อนโยน และบำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เท่านั้น
3. รับประทานผลไม้ เบตาแคโรทีน
- เบต้าแคโรทีน คืออะไร?
เบต้าแคโรทีน พบมากในผัก และผลไม้ที่มีสีส้ม เหลือง หรือแดง เพราะเบต้าแคโรทีน คือ ตัวการทำให้พืชผักและผลไม้มีสีสันดังกล่าว เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโม แคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอคโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง - สำหรับปริมาณในการรับประทานของวิตามินเอเพื่อรักษาสุขภาพ
โดยทั่วไปคือ 5,000 หน่วยสากล (IU) ซึ่งเทียบเท่ากับเบต้าแคโรทีน 3 มิลลิกรัม และสำหรับปริมาณของเบต้าแคโรทีนที่ควรรับประทานต่อวันเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรงนั้น คือ 15 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาจะต้องได้รับในปริมาณมากกว่านี้ - เบต้าแคโรทีน มีประโยชน์ต่อร่างกาย และผิวพรรณอย่างมาก
คือ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย แลดูสดใสอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสภาพปกติของเซลล์เยื่อบุตาขาว กระจก ตา ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ รวมถึงทางเดินปัสสาวะให้เป็นปกติ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีอีกด้วย - เบต้าแคโรทีน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิดพรรณของคนเราแล้ว
มันยังสามารถทำอนตรายกับตัวเราได้เช่นกัน เนื่องจาก เบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการจะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกันข้าม โดยกลายตัวเป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ดังนั้นการบริโภคเบต้าแคโรทีนที่มากเกินไป อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะการรับประทานเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ขณะที่การรับประทานอาหารแบบธรรมชาติทั่วไป เช่น มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป
รับประทานผลไม้ เบตาแคโรทีน เพื่อช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้ เช่น แคนตาลูป มะเขือเทศราชินี มะละกอสุก สัปปะรด
สรุป
LaMocha : เพียงแค่ทำตามเคล็ดลับ 3 วิธีนี้ ก็ช่วยทำให้ผิวมีความแข็งแรงได้มากกว่าเดิมแล้วค่ะ ถ้าไม่อยากให้ผิวแพ้ง่าย อย่าลืมทำตามวิธีที่เราแนะนำด้วยนะคะ
ลาโมช่า(LaMocha) ครีมกันแดด เนื้อมูส ผสมอาหารผิว
3 คุณสมบัติ ในหลอดเดียว ทาทีเดียวจบปิ๊ง!
?? ขนาดพกพา 499.- ขนาดปกติ 1,250.- ใช้นานเป็นเดือน