ครีมกันแดดหน้า : แสงแดดที่เราต้องเจอกันทุก ๆ วัน รู้หรือไม่คะว่าคนเราแต่ละคนมีความทนต่อแสงแดดต่างกัน เนื่องจากสีผิวของเรานั้นแตกต่างกัน ทำให้การดูดซับหรือความทนต่อรังสียูวีในผิวของแต่ละคนไม่เท่ากันค่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่าสีผิวของแต่ละคนจะมีความทนต่อแสงแดดได้สักเท่าไหร่ และจะมีวิธีการป้องกันผิวจากแสงแดดที่น่าสนใจได้อย่างไรบ้าง
สารบัญเนื้อหา
1. สีผิวกับความทนต่อแสงแดดไม่เท่ากัน
2. เราจะปกป้องผิวจากแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างไร
1. สีผิวกับความทนต่อแสงแดดไม่เท่ากัน
Dr.Fitzpatrick ได้กำหนดสีผิวของคนเราไว้ 6 ชนิด โดยแบ่งตามความแตกต่างของสีผิว ขั้นตอนการดูว่าผิวเราเป็นแบบประเภทอะไรซึ่งทำให้เรารู้ว่าสามารถทนกับรังสี UV ได้มากขนาดไหน วิธีก็แค่ดูสีผิวของแต่คนว่ามีสีผิวแบบไหนกันบ้างนะคะ
- ประเภทสีผิวที่ 1 (Type I)
เป็นสีผิวที่ขาวจัด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีผิวของชาวตะวันตกโซนยุโรป คนที่มีสีผิวในลักษณะนี้ เมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผิวไหม้ดำได้ตลอด เมื่อถูกแดดมากส่วนใหญ่ผิวจะไหม้เป็นสีแทน มีแนวโน้มเป็นกระ ผมสีแดงหรือสีทอง ตาสีฟ้าหรือสีเขียว - ประเภทสีผิวที่ 2 (Type II)
เป็นสีผิวที่เข้มขึ้นมาจากประเภทแรก ผลที่ตามมาเมื่อผิวถูกกับแสงแดดเป็นเวลานาน ผิวจะไหม้ดำอยู่บ่อย ๆ บางครั้งถูกแดดมากผิวก็เปลี่ยนเป็นสีแทน ผมสีอ่อน ตาสีฟ้าหรือสีน้ำตาล - ประเภทสีผิวที่ 3 (Type III)
เป็นสีผิวที่เข้มขึ้นมาจากผิวประเภทที่ 2 ซึ่งจะเป็นผิวขาวเหลือง ส่วนใหญ่แล้วผิวคนไทยจะประมาณนี้ค่ะ ผิวประเภทนี้เมื่อต้องถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ผิวจะไหม้บางครั้งเมื่อถูกแดดมาก ผิวจะเปลี่ยรเป็นสีแทน ส่วนใหญ่ผมและตาจะเป็นสีน้ำตาล - ประเภทสีผิวที่ 4 (Type IV)
เป็นสีผิวที่เข้มขึ้นมาอีก สีผิวประเภทนี้คนไทยก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อผิวประเภทนี้โดนแสงแดด ผิวไม่ค่อยไหม้ ส่วนใหญ่ตากแดดผิวจะเป็นสีแทน โดยมากผมและตาจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม - ประเภทสีผิวที่ 5 (Type V)
เป็นสีผิวเข้มค่อนไปทางคล้ำ เมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน สีผิวจะเปลี่ยนเป็นผิวดำออกน้ำตาล ส่วนใหญ่ผมและตาเป็นสีน้ำตาลไหม้ - ประเภทสีผิวที่ 6 (Type VI)
เป็นสีผิวที่เข้มที่สุด เมื่อสีผิวประเภทนี้โดนแสงแดดจะเปลี่ยนเป็นผิวดำ น้ำตาล ผมและตาเป็นสีน้ำตาลไหม้
เมื่อเรานำสีผิวแต่ละประเภทมาเทียบกับค่าดัชนีของรังสียูวี หรือค่า UV Index เราพบว่าสีผิวประเภทที่ 1 – 4 จะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ โดยผิวประเภทที่ 1 จะมีความเสียงสูงที่สุด ไล่มาตามประเภทสีผิวที่เข้มที่สุด โดยสรุปก็คือ ผู้ที่มีผิวขาวจัดจะมีความเสี่ยงต่อรังสียูวีมากที่สุดนั่นเองค่ะ
2. เราจะปกป้องผิวจากแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างไร1. ช่วง 8.00-9.00 น.
1. ช่วง 8.00-9.00 น.
ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผิวของคุณเย็นและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ดื่มกาแฟ เพราะกาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนบวกกับการออกกำลังกายด้วยการจ็อกกิ้งเบา ๆ ในยามเช้าจะช่วยให้สภาพผิวของคุณดีขึ้น เพราะช่วยลดโอกาสที่คุณจะได้ได้รับรับรังสียูวีบีจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวส่งให้เซลล์ผิวของคุณเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดที่ไม่ได้เกิดจากเซลล์เม็ดสี การปฏิบัติเช่นนี้ในช่วงเช้าถือว่าเป็นการช่วยระงับการเกิดมะเร็งผิวหนังระยะเริ่มต้นค่ะ ที่สำคัญอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกไปวิ่งด้วยนะคะ
2. ช่วง 9.00-10.00 น.
ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้า และเพื่อประสิทธิภาพของการป้องกันให้คุณทาครีมอีกสองชั้นก่อนออกจากบ้าน 30 นาที
3. ช่วง 10.00-17.00 น.
เมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งในเวลานี้ ควรสวมเสื้อผ้ามีในการป้องกันรังสียูวี ในช่วงระหว่างนี้หากสาว ๆ ออกไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมลางแจ้งต่าง ๆ ควรสวมเสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันอีกชั้นก่อนแสงแดดจะกระทบถึงผิว และควรทาครีมกันแดดซ้ำอีกรอบค่ะ ที่สำคัญอย่าลืมพกน้ำไปดื่มเพื่อเติมน้ำและความชุ่มชื่นให้ผิวด้วยค่ะ
4. 18.00-19.00 น.
การนำโลชั่นทาผิวเย็นมาชโลมผิวนั้นจะทำให้อาการผิวคล้ำจากแดดชะงักลงได้ จากนั้นก็อาบน้ำในอุณหภูมิปกติไม่เย็นจนเกินไป เพราะถ้าน้ำเย็นเกินไปจะยิ่งทำให้หลอดเลือดหดตัวและส่งผลเสียต่อเนื้อเหยื่อผิวได้ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็อย่าลืมชโลมโลชั่นลงบนผิวด้วยนะคะ
5. 20.00 – 22.00 น.
หากรู้สึกว่าอาการผิวไหม้แดดกำลังเกิดขึ้นกับคุณ ให้รีบรับประทานยาไอบูโปรเฟน 2 เม็ด ภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากนั้นก็กินทุกๆ 4 ชั่วโมง เพราะยาไปช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น ไม่รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ลดอาการปวดศีรษะ และมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียระบุว่า ยาไอบูโปรเฟนจะช่วยเข้าไปยับยั้งฮอร์โมนที่ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดจากอาการไหม้แดดได้ค่ะ
สรุป ครีมกันแดดหน้า
ครีมกันแดดหน้า : รู้แล้วใช่ไหมคะว่าสีผิวแต่ละคนมีความทนทานต่อแสงแดดที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นอย่าลืมป้องกันผิวของเราด้วยการทาครีมกันแดดด้วยนะคะ เพื่อผิวจะได้สวยสุขภาพดีกับเราไปนาน ๆ ค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ทำยังไงให้ผิวเป็นสิว แพ้ง่าย กลับมาขาวใสเหมือนเดิม
ปัญหาผิวเป็นสิว ผิวแพ้ง่าย คือปัญหาผิวที่สาว ๆ หลายคนต้องเจอกันเป็นส่วนใหญ่ และเป็นปัญหาเรื้อรัง เพราะนอกจากเราจะเป็นสิว ปัญหาที่จะตามมาก็คือ รอยแดงสิว ความหมองคล้ำ ริ้วรอย จุดด่างดำ และเป็นปัญหาที่เราต้องตามแก้ไข กว่าจะหายก็ใช้เวลานาน และแน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ไม่มีวันหมดง่าย ๆ ตราบใดที่คุณยังเป็นสิวและมีผิวแพ้ง่ายเหมือนเดิม เราจึงอยากแนะนำเคล็ดลับการดูแลผิวสำหรับคนที่เป็นสิว มีผิวแพ้ง่าย ให้กลับมาขาวใสได้อีกครั้งมาฝากกันค่ะ
เคล็ดลับหน้าใส ไร้สิว เผยผิวออร่า
ใบหน้าของผู้หญิงถือว่าเป็นจุดเซ็นเตอร์ของความงามก็ได้เลยนะคะ แต่ถ้าเราไม่ดูแลผิวหน้าจนปล่อยให้มีสิว มีฝ้า จุดด่างดำ ก็อาจทำให้เราหมดความสวยไปเลย และยังส่งผลเสียต่อผิวในระยะยาวอีกด้วย และการจะทำให้ผิวหน้ากลับมาสวยใสได้เหมือนเดิมนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องยากมาก เพราะฉะนั้น เราควรรักษาผิวหน้าให้สวยใสไร้สิวกันดีกว่า เพื่อไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหาผิวในภายหลังอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เราก็มี 10 เคล็ดลับการดูแลผิวมาฝากกัน
8 นิสัยที่ทำให้สิวหายเกลี้ยง ไม่กลับมาอีกเลย
เรื่องของสิวเป็นแล้วก็กลับมาเป็นอีก เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมสิวจึงเป็น ๆ หาย ๆ ในความเป็นจริงแล้วสิวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพราะนิสัยของเรากันแน่ที่ทำให้เกิดสิวตัวร้าย เป็นแล้วก็เป็นอีก นอกจากเลิกเป็นสิวแล้วยังทิ้งรอยแผลสิวไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่านิสัยแบบไหนที่จะทำให้สิวหายเกลี้ยง ไม่กลับมาเยี่ยมใบหน้าของเราอีกเลย
เหตุผลว่าทำไมเซรั่มจึงช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้
ไม่ว่าการดูแลขั้นตอนจะใช้สกินแคร์มากสักแค่ไหน แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเซรั่มจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นเสมอ นั่นเป็นเพราะเซรั่มนั้นมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวได้อย่างลึกล้ำ ทำให้ผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้ เซรั่มจึงเปรียบเสมือนได้กับอาหารผิวชั้นดีที่สกัดมาเพื่อการบำรุงผิวโดยเฉพาะ
เลือกเซรั่มยังไงให้ดีที่สุดสำหรับผิวของเรา
หากคุณเป็นอีกคนที่ต้องการให้ผิวมีสุขภาพดี สิ่งหนึ่งที่คุณจะขาดไม่ได้ก็คือการใช้สกินแคร์ช่วยบำรุงผิวของคุณค่ะ โดยเฉพาะการใช้เซรั่มบำรุงผิวร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่น และการใช้เซรั่มก็ไม่ใช่ว่าคุณจะเลือกใช้เซรั่มอย่างไรก็ได้นะคะ แต่ต้องเลือกเซรั่มที่ดีที่สุดและเหมาะกับผิวของเราจริง ๆ จึงจะทำให้เซรั่มบำรุงผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
รู้ไว้เลย ถ้าไม่ทาครีมกันแดดจะเป็นแบบนี้นะจ๊ะ
เราเตือนแล้วเตือนอีกว่าถ้าอยากมีผิวสวย ไม่แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรก็ต้องปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด แต่ถึงแม้ว่าแดดบ้านเราจะร้อนสักแค่ไหน แต่สาว ๆ ก็มักจะหลงลืมทาครีมกันแดดกันประจำ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่เชื่อเรา วันนี้เราจะมาบอกว่าทำไมสาว ๆ จึงควรทาครีมกันแดด เพราะถ้าหากไม่ทาแล้วล่ะ ผิวของคุณก็อาจจะเป็นแบบนี้ได้เลยค่ะ
พลาดกันมากี่ครั้งแล้วกับความเชื่อผิด ๆ ของครีมกันแดด
แสงแดดร้อนระอุในบ้านเราแบบนี้ สิ่งที่เราจะขาดจากกระเป๋าของเราไม่ได้เลยก็คือ ครีมกันแดดนั่นเอง เพราะครีมกันแดดมีประโยชน์ต่อผิวอย่างมาก ทั้งช่วยป้องกันผิวจากรังสี UV ไม่ให้ผิวไหม้คล้ำเสีย ชะลอการเกิดริ้วรอย ไม่ทำให้เราแก่เร็ว ลดความเสี่ยงการเกิดกระ ฝ้า มะเร็งผิวหนัง แต่ถึงประโยชน์จะเยอะขนาดนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ายังมีหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับครีมกันแดด จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยดีกว่าค่ะ
เซรั่ม แหล่งอาหารชั้น 1 ที่ผิวเราขาดไม่ได้!
ปัจจุบันแค่ใช้ครีมบำรุงผิวธรรมดาก็เอาไม่อยู่แล้ว เพราะในอากาศสมัยก่อนกับปัจจุบันนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง เราคงต้องยอมรับว่าผิวของเราล้วนตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษมากมายกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น คราบเขม่าควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ความร้อนจากแสงแดดที่นับวันก็ยิ่งมีแต่เพิ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ปล่อยของเสียออกมาในปริมาณมาก สิ่งที่เราจะทำได้คือการดูแลผิวของเรา เติมอาหารผิวของเราให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ผิวมีสุขภาพดีได้นั่นเอง และสกินแคร์ตัวสำคัญที่จะดูแลผิวของเราให้มีสุขภาพดีขึ้นได้ก็คือ เซรั่มบำรุงผิวนั่นเองค่ะ