การบำรุงผิว

อายุ 40+ ดูแลผิวยังไง? ไม่ให้แก่ตามวัยง่ายๆ

ริ้วรอยบนใบหน้า : สาวที่อายุ 40 บวกขึ้นไปแล้วก็คงอยากจะเก็บความอ่อนเยาว์ให้อยู่กับตัวเราได้นานที่สุด ปัญหาผิวของผู้หญิงวัย 40 ปี ที่คนส่วนใหญ่มักเจอก็คือ ผิวแห้ง ริ้วรอย ความหย่อนยาน ปัญหาเหล่านั้นช่วยชะลอได้ ถ้ารู้จักวิธีที่เราแนะนำ ดังนี้

สารบัญเนื้อหา

1. ห้ามมี ความเครียด
2. หันมากิน อาหารชีวจิต
3. ทำ ทรีทเม้นท์หน้าใส
4. ใช้ เซรั่มบำรุงผิว แบบเร่งด่วน
5. ใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิว ป้องกัน ริ้วรอยบนใบหน้า

วิธีดูแลผิวกายให้เนียน

1. ห้ามมี ความเครียด

ฟังดูยาก แต่จริง ๆ แล้วถ้าคุณมี ความเครียด เราแนะนำให้ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เข้าสปา พูดคุยกับเพื่อน เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงภาวะเครียดค่ะ

  • 8 สิ่งที่จะเกิดกับร่างกายเมื่อคุณมี ความเครียด
    ความเครียดถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว การเรียน การงาน หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเครียดได้ทั้งนั้น แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า ความเครียดไม่เพียงแต่ทำให้เรามีอารมณ์ที่ขุ่นมัวเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่อร่างกายได้อีกหลายทางเลยค่ะ ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณไปดูหลากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายเมื่อคุณเครียด จะน่าสนใจมากแค่ไหน เราลองมาดูพร้อมกันเลยค่ะ

    • ทำให้หมดแรง
      นอกจาก ความเครียด จะทำให้คุณรู้สึกวิตกกังวลแล้ว มันก็ยังไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาในกระแสเลือด ซึ่งเจ้าฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น และปล่อยพลังงานส่วนเกินออกมาเพื่อให้ร่างกายรับมือกับความเครียด แต่หากคุณเครียดบ่อยครั้ง มันก็สามารถทำให้สมองจำกัดปริมาณของคอร์ติซอลที่ส่งไปยังกระแสเลือด ส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยหรือหมดแรง แต่ข่าวดีก็คือ การออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง สามารถช่วยควบคุมฮอร์โมนดังกล่าวได้ค่ะ
    • ส่งผลต่อความต้องการทางเพศ
      ความเครียด เรื้อรังสามารถส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนของ ร่างกาย ซึ่งมีส่วนในการทำงานของระบบสืบพันธุ์ หากคุณปล่อยให้ความเครียดอยู่กับคุณนานเกินไป มันก็อาจทำให้คุณมีความต้องการทางเพศลดลง ถ้าไม่อยากให้ขาเตียงสั่นคลอน นอกจากคุณจะหาวิธีคลายเครียดแล้ว การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดการทานอาหารแปรรูปก็สามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้เช่นกัน
    • ทำให้ท้องผูก
      สำหรับคนที่มีอาการท้องผูกอยู่แล้ว คุณยิ่งต้องหาทางรับมือกับความเครียดให้ดีค่ะ เพราะการรู้สึกเครียดแบบต่อเนื่องสามารถส่งผลต่อฮอร์โมนที่หลั่งโดยต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นต่อมที่ควบคุมระบบเผาผลาญ ถ้าระดับของฮอร์โมนผิดปกติ มันก็สามารถทำให้คุณท้องผูกได้ค่ะ สำหรับวิธีแก้ปัญหาคือ ให้คุณออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะๆ ทานอาหารที่มีไฟเบอร์ให้มากขึ้น หรือทานยาระบายค่ะ
    • ทำให้สิวมาเยือน
      ในขณะที่คุณกำลังเครียดหรือสติแตก ระดับของฮอร์โมนเพศที่ชื่อว่าแอนโดรเจนจะพุ่งพรวด ส่งผลให้ปัญหาสิวตามมา รวมถึงยังทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ความวิตกกังวลจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีปัญหา ซึ่งสามารถทำให้เกิดผื่น หรือทำให้ผิวเกิดการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม นอกจากคุณจะทานยาคุมกำเนิดเพื่อรับมือกับสิวแล้ว คุณก็อาจใช้ยาทาสิว หรือไปพบแพทย์ในกรณีที่ทางเลือกดังกล่าวใช้ไม่ได้ผล
    • ความจำแย่ลง
      ความเครียด ที่เกิดขึ้นหลังจากที่คุณรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคาม รู้สึกกลัวมาก หรือรู้สึกหมดหนทางช่วยเหลือนั้นสามารถส่งผลต่อสมองส่วนที่เก็บความทรงจำอย่างฮิปโปแคมปัส โดยมันจะทำให้สมองส่วนนี้มีขนาดเล็กลง ทำให้คุณจดจำความจริง หรือเหตุการณ์ต่างๆ ได้แย่กว่าเดิม รวมถึงยังทำให้ยากต่อการสร้างความจำใหม่
    • ทำให้น้ำหนักขึ้น
      มีงานวิจัยของ University of Kentucky พบว่า คนที่กำลังควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักที่เรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียดนั้นจะลดน้ำหนักได้สำเร็จมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำเช่นนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า มันช่วยลดโอกาสที่คุณจะทานจุโดยมีต้นเหตุมาจากความเครียด แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ในวารสาร Psycho Neuro Endocrinology พบว่า ร่างกายของผู้หญิงที่เครียดต่อเนื่องจะเผาผลาญไขมัน และน้ำตาลต่างจากคนที่ไม่มีความรู้สึกดังกล่าว
    • ผมร่วง
      นอกจากความเครียดจะทำให้ฮอร์โมนแอนโดรเจนพุ่งสูงจนทำให้สิวบุกหน้าแล้ว มันก็สามารถทำให้ผมร่วงได้เช่นกัน ซึ่งมักเกิดขึ้น 3-6 เดือนหลังจากที่คุณเจอสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาก แต่คุณไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะอาการที่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น การทานอาหารให้สมดุลสามารถช่วยให้เซลล์ที่ต่อมรากผมกลับคืนสู่สภาพเดิม
    • ทำให้ปวดหลัง
      ในขณะที่คุณเครียด อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น และทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อตกอยู่ในอันตราย เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด หรือที่เรียกว่า Fight-or-flight response ซึ่งมันสามารถทำให้กล้ามเนื้อของคุณบีบตัวแน่น และถ้าคุณนั่งทำงานที่โต๊ะทั้งวัน มันก็ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกปวดหลังได้ค่ะ อย่างไรก็ดี คุณสามารถต่อสู้กับอาการปวดหลังที่เกิดจากความเครียด โดยลุกขึ้นยืนทุกชั่วโมง และยืดเส้นยืดสายค่ะ
      ความเครียดสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากกว่าที่เราคิด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรหาวิธีคลายเครียด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อทั้งสุขภาพจิต หรือสุขภาพกายในภายหลังค่ะ

2. หันมากิน อาหารชีวจิต

ลดเนื้อสัตว์ที่อาจมีสารเคมีตกค้าง เน้นรับประทานผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ ช่วยทำให้ผิวได้รับวิตามินค่ะ

  • อาหารชีวจิต วิถีการกินเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว
    อาหารชีวจิต เป็นแนวทางการกินอาหารที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ศึกษาและปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ให้เหมาะสมกับสภาพวิถีชีวิตของคนไทยและเมืองไทย ทำให้ง่ายต่อการจัดหา ปรุง และกิน
  • การกินอาหารเป็นยา
    อาจารย์สาทิสมีความเห็นเกี่ยวกับการกินอาหารและสุขภาพว่า โรคภัยไข้เจ็บหลายๆ โรคเกิดจากการกินอาหารผิดสัดส่วน บางอย่างกินมากไปเกินไป บางอย่างกินน้อยเกินไป เช่น

    • กินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ->เบาหวาน
    • กินเกลือมากเกินไป ->ไต
    • กินเกลือมากเกินไป ->ความดันโลหิตสูง
    • กินไขมันมากเกินไป ->ไขมันอุดตันในหลอดเลือด
      การกินที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ เมื่อไปรวมกับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น ความเครียด มลภาวะ ฯลฯ ยิ่งเร่งให้เจ็บป่วยเร็วขึ้น
  • สุขภาพพังเพราะลิ้น
    • อาหารนั้น เมื่อยังไม่ได้กิน หน้าตาสวยงาม รสชาติอร่อย แต่เมื่อเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ร่างกายจะรู้จักเพียงแค่สารอาหารที่ได้จากอาหารนั้นๆ
    • หลายครั้งที่คนเรากินอาหารผิดๆ เป็นโทษต่อร่างกาย เพราะลิ้นสร้างนิสัยการกินผิดๆ เช่น บางคนติดหวาน ติดเค็ม ติดกินรสจัดรสแซบ
    • บางคนชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ท้องอืด ปากเปรี้ยว คอขม เกิดเป็น “ท็อกซิน” ซึ่งก็คือพิษร้ายจากอารมณ์อยากกินของมนุษย์และอาหารผสมกับระบบย่อยที่แปรปรวน
  • “อาหารเป็นยา” ตามหลัก อาหารชีวจิต
    • อาหารประเภทแป้งซึ่งไม่ขัดขาว 50 เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งหนึ่งของแต่ละมื้อ
      เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพดจะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก ถ้าเป็นแป้งขนมปังก็เป็นขนมปังโฮลวีต และถ้าจะให้เป็นแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรต (คือเป็นแป้งหลายชั้นซึ่งมีโปรตีนปนอยู่ด้วย) ก็ควรเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก หรือฟักทองลงไปด้วย
    • ผักหนึ่งในสี่ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละมื้อ
      ใช้ทั้งผักดิบและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง ถ้าปลูกเอง ไม่ใช้สารเคมีจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องซื้อจากตลาดต้องเลือกผักปลอดสารพิษ ล้างผ่านน้ำและแช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง ก็จะช่วยล้างสารพิษได้
    • ถั่วต่างๆ อยู่ในประเภทโปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ
      เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร นอกจากนี้จะใช้โปรตีนจากสัตว์เป็นครั้งคราว คือ ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ
    • เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ้นต์ของแต่ละมื้อ
      • ประเภทแกง เช่นแกงจืด แกงเลียง
      • ประเภทซุป เช่น ซุปมิโซะ (มิโซะ = เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง)
      • ประเภทของขบเคี้ยว เช่น งาสดและงาคั่ว (ใช้ปรุงอาหารต่างๆ ได้ทุกอย่าง) ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน
      • ผลไม้สด ต้องเป็นผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ มะม่วงดิบ หรือพุทรา

3. ทำ ทรีทเมนท์หน้าใส

เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายไป เผยผิวกระจ่างใส และทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น

  • ทรีทเมนท์หน้าใส คือ
    การบำรุงรักษาผิวหน้าประเภทหนึ่งที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปในเรื่องของการรักษาสิว ริ้วรอย หรือปัญหาผิวอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จะให้ประโยชน์โดยรวมกับผิวหน้า จากวิตามิน แร่ธาตุ และสารพัดเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผิวหน้าเกิดความกระจ่างใส เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ สำหรับทรีทเมนท์หน้าใสบางตัวก็จะช่วยเรื่องสิวอุดตัน และสิวเสี้ยนบ้าง หรือบางตัวอาจจะช่วยเรื่องรักษาแผลเป็นเป็นพิเศษ แต่สำหรับสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาสิวอักเสบ และกำลังมีสิวเห่อขึ้นเต็มหน้าก็ควรจะหลีกเลี่ยงการทำทรีทเมนท์หน้าใสไปก่อนนะคะ เนื่องจากทรีทเมนท์หน้าใสนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับรักษาสิวอักเสบโดยตรง สาวๆ ที่อยู่ในเคสนี้ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนว่าควรจะรักษาในรูปแบบไหนนะคะ
  • ทรีทเมนท์หน้าใส มีอะไรบ้าง 
    • AHA Treatment (Facial Peeling)
      ทรีทเมนท์หน้าใส ประเภทนี้เป็นการบำรุงรักษาผิวหน้าที่นิยมมาก เพราะไม่ได้ดูลึกล้ำหรือหนักไปทางด้านเทคโนโลยีมากนัก เพียงแต่เป็นการใช้สาร AHA ที่สกัดได้จากผลไม้รวม มาผลัดเซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหน้า ช่วยทำให้ผิวหมองคล้ำที่อยู่ด้านนอกค่อยๆ หลุดออกไปอย่างช้าๆ ทรีทเมนท์หน้าใสประเภทนี้ยังช่วยกระชับรูขุมขม และลบริ้วรอยได้อีกด้วย ทำแล้วผิวก็จะดูกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ
    • No-Needle Meso Therapy
      หรือที่มีชื่อเล่นว่าเมโส ทรีทเมนท์หน้าใส ประเภทนี้จะเป็นการใช้เครื่องมือผลักเอาสารที่มีประจุไฟฟ้าเข้าสู่ผิวหน้า สารต่างๆ เหล่านี้ก็จะเป็นพวกวิตามิน และอาหารผิวต่างๆ อย่างกรดอะมิโน โคเอนไซม์ เป็นต้น เพื่อไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเซลล์ใต้ผิวหนังให้เปิดเป็นช่องว่าง รับเอาสารอาหารเหล่านี้เข้าสู่ผิว ทำให้ผิวได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าไปแบบเต็มๆ และด้วยความที่ทรีทเมนท์หน้าใสประเภทนี้ไม่ทำให้เจ็บตัว หรือเกิดรอยแดงใดๆ จึงทำให้ได้ใจสาวๆ กันไปอีกค่ะ
    • Oxygen Peeling Treatment
      ทรีทเมนท์หน้าใส ประเภทนี้กำลังป็อปมากๆ ในต่างประเทศค่ะ วิธีการก็คือจะใช้แรงดันอากาศระดับสูงในการผลัดเซลล์ผิว คล้ายกับการกรอผิวหน้า แล้วตบท้ายด้วยการผสานผิวด้วยน้ำแร่เย็นๆ ซึ่งก็ค่อนข้างอ่อนโยน และไม่ค่อยระคายเคืองต่อผิวหน้าทรีทเมนท์ประเภทนี้จะช่วยลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำบนผิว ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับผิว ผิวหน้าก็จะดูผุดผ่องขึ้นค่ะ ทั้งสาม ทรีทเมนท์หน้าใส แบบไร้เข็มทั้งสามวิธีนี้ก็ถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก สำหรับสาวๆ ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ กับการทำเลเซอร์ หรือการใช้เข็ม และถึงแม้ว่า ทรีทเมนท์ ทั้งสามตัวนี้ จะไม่ค่อยทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว อย่างไรก็ตามหลังจากทำทรีทเมนท์หน้าใสแล้ว ก็ควรจะดูแลผิวเป็นพิเศษ สำคัญที่สุดเลยควรจะต้องเลี่ยงการเผชิญแดดไปก่อนสักสัปดาห์หนึ่ง เนื่องจากผิวหน้าเราจะบอบบางกว่าปกติ จึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงสิ่งระคายผิวทั้งหลายไปก่อน เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูสภาพได้อย่างเต็มที่ค่ะ

4. ใช้ เซรั่มบำรุงผิว แบบเร่งด่วน

เพราะเซรั่มช่วยฟื้นฟูผิวจากริ้วรอยและเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างดี

  • ประโยชน์ของ เซรั่มบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื่น
    เซรั่มให้ความชุ่มชื่นอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ที่เพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว เพื่อใบหน้าที่สดชื่น อ่อนเยาว์ เปล่งประกาย เป็นยาวิเศษสำหรับผิวขาดน้ำที่ต้องการตัวช่วยเสริมความงามอย่างแท้จริง
  • คุณควรใช้ เซรั่มบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื่นหรือไม่?
    ผู้หญิงทุกช่วงวัยย่อมได้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของเซรั่มให้ความชุ่มชื่น ซึ่งสามารถปลอบประโลมผิวแห้งและขาดน้ำ พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิวอย่างยาวนาน “น้อยคนมากที่จะเข้ามาถามหาเซรั่มให้ความชุ่มชื่น” ผู้เชี่ยวชาญและเภสัชกรชาวฝรั่งเศส Jean-Marc Vernet กล่าว “แต่ผมกลับเป็นผู้แนะนำให้คนส่วนใหญ่ใช้”
    นักวิจัยได้ศึกษาปัจจัยสำคัญเพื่อพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเสริมสร้างความชุ่มชื่นของผิวตามธรรมชาติ และพบว่าบางบริเวณบนใบหน้ามีแนวโน้มที่จะแห้งกว่าบริเวณอื่น ซึ่งหมายความว่าเซรั่มและทรีตเม้นต์ให้ความชุ่มชื่นมีความจำเป็นต่อการรักษาความสมดุลของระดับความชุ่มชื่นของผิว ผู้เชี่ยวชาญและเภสัชกรชาวฝรั่งเศสสองท่าน Shirley Chemouny และ Jean-Marc Vernet แนะนำว่าเซรั่มดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับ:

    • วัยรุ่น ผู้ที่เป็นสิวง่าย : เพื่อบรรเทาอาการ ผิวแห้ง จากทรีตเม้นต์ที่รุนแรง
    • ผู้ชาย : เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองหลังการโกนหนวด
    • ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป : เพื่อลดความแห้งกร้านและป้องกันการเกิดริ้วรอย
    • ผิวที่ร่วงโรย : เพื่อฝื้นฟูความเปล่งประกายและเติมเต็มผิว
    • ผิวที่มีอาการแดงหรือโรซาเซีย (rosacea) : เพื่อปลอบประโลมการอักเสบและบรรเทาอาการคัน
    • ผิวที่โดนแดด : เพื่อปกป้องผิวจากการสัมผัสกับแสงแดดซ้ำๆ หรือระยะยาว
    • ผิวที่ถูกทำร้ายจากสภาพแวดล้อม : เพื่อปลอบประโลมผิวจากอากาศเย็น ลม แสงแดด มลภาวะ การอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ ลมภูเขา ลมทะเล ไฟล์ทการเดินทาง ฯลฯ
  • ประโยชน์ของเซรั่มให้ความชุ่มชื่นคืออะไร?
    ฟื้นฟูผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์เปล่งประกายอีกครั้งด้วยเซรั่มให้ความชุ่มชื่น แล้วคุณจะรู้สึกถึงความเปล่งปลั่งของผิวในทันที!
  • วิธีการใช้เซรั่มให้ความชุ่มชื่น
    น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชีวิต จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผิวแข็งแร็งจำเป็นต้องได้รับการฟื้นบำรุงให้ชุ่มชื่นจากภายใน โดยทั่วไปแล้วเซรั่มเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำแร่ ซึ่งอ่อนโยนสำหรับผิวบอบบาง
    เซรั่มให้ความชุ่มชื่นสามารถใช้เป็นทรีตเม้นต์สูตรเร่งรัดเฉพาะช่วงเวลา หรือใช้บำรุงประจำวัน สามารถใช้บำรุงบนผิวหลังทำความสะอาดได้ทั้งตอนเช้าและเย็น โดยเริ่มจากสเปรย์น้ำแร่สปาเธอมอลลงบนใบหน้าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนบำรุงผิวด้วยซีรั่ม เพื่อการซึมซาบที่ดีขึ้นในขั้นตอนต่อไป
    เซรั่มสามารถใช้เป็นเบสสำหรับแต่งหน้า หรือนำมาผสมกับ BB หรือ CC ครีม หากต้องการความชุ่มชื่นและปกป้องผิวเป็นพิเศษ ให้ทาครีมกันแดดหรือครีมบำรุงกลางวันทับบนซีรั่ม เพื่อปกป้องกลไกการดูแลผิวตามธรรมชาติ ดังที่ Jean-Marc Vernet แนะนำไว้ว่า“จงจำไว้ว่าเซรั่มให้ความชุ่มชื่นไม่มีส่วนประกอบที่ป้องกันความร่วงโรยจากแสงUV”

5. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวป้องกันริ้วรอย

ที่สำคัญอย่างลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวด้วยค่ะ

สวย แบบ ประหยัด

สรุป ริ้วรอยบนใบหน้า

ก็คือ เราต้องทำจิตใจให้แจ่มใส รับประทานอาหารที่ให้วิตามินแก่ร่างกาย และบำรุงผิวอย่างถูกวิธีก็ช่วยให้ความอ่อนเยาว์อยู่กับเราไปนาน ๆ ได้แล้วค่ะ